แจกแพลนที่เที่ยวเกาหลี 7 วัน 6 คืน และสถานที่เที่ยวห้ามพลาด!

    แม้ข่าวคราวการเที่ยวเกาหลีอาจจะมีประเด็นร้อนอยู่บ้างสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่เชื่อว่าแดนกิมจิยังเป็นอีกหนึ่งประเทศในฝันที่หลายคนอยากไปเยือนสักครั้ง โดยเฉพาะคนที่อยากไปเที่ยวตามรอยซีรีส์เรื่องดังและซึมซับวัฒนธรรมอาหารของเกาหลี ชับบ์ ไม่รอช้าแจกแพลนที่เที่ยวเกาหลี 7 วัน 6 คืน และสถานที่เที่ยวห้ามพลาด

    สำหรับการเดินทางไปเที่ยวเกาหลี จะให้ดีควรทำประกันการเดินทางต่างประเทศของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ที่มาพร้อมกับการคุ้มครองตั้งแต่เริ่มต้นจนจบทริป คุ้มครองครบทั้งสุขภาพ กระเป๋าเดินทาง ทรัพย์สินส่วนตัว จนถึงการคุ้มครองทั้งแบบรายเที่ยวและรายปี พร้อมให้คุณเดินทางท่องเที่ยวเกาหลีได้อย่างอุ่นใจ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเมืองหลวงของเกาหลีกันก่อนดีกว่า

people-walking-between-tall-buildings-korea

‘กรุงโซล’ เมืองหลวงของเกาหลี สถานที่เที่ยวสุดล้ำและแหล่งช้อปปิ้งสุดเริด!

    ‘กรุงโซล’ เมืองหลวงของเกาหลีที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำและสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ มากมาย แม้จะไม่โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมเก่าแก่ แต่ที่เที่ยวเกาหลีแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยงานดีไซน์เก๋ ๆ ที่อาจจะเรียกได้ว่ากรุงโซลเป็นศูนย์กลางแห่งการดีไซน์เลยก็ว่าได้

    กรุงโซลเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางและที่เที่ยวเกาหลีที่หลายคนหมายปอง เพราะเมืองหลวงแห่งนี้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้กัน ที่สำคัญการเดินทางภายในกรุงโซลนั้นยังสะดวกสบาย และมีสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ให้เดินทางไปเยือนมากมาย แล้วยังเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ที่รอให้คุณไปค้นพบอีกด้วย 

    นอกจากนี้ กรุงโซลยังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดชิลล์และสวนสาธารณะสวย ๆ ให้คุณเดินเล่นชมวิวอีกเพียบ อย่างหมู่บ้านวัฒนธรรม ร้านอาหารเกาหลีแท้ ๆ งานเทศกาลต่าง ๆ หรือพระราชวังสวย ๆ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์และซีรีส์เกาหลีชื่อดังอีกหลายเรื่อง นอกจากนี้ กรุงโซลยังมีแหล่งช็อปปิงที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ย่านเมียงดง อัพกูจอง รวมไปถึงศูนย์กลางแห่งดีไซน์อย่าง Dongdaemun Design Plaza อันเป็นที่เที่ยวเกาหลีที่มีชื่อเสียงที่ทำให้หลาย ๆ คนเดินทางไปเยือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

woman-tourist-in-korea-geyongbokgung-palace-grounds-in-seoul

เที่ยวเกาหลี เดือนไหนดี?

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีคือ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี นอกจากคุณจะได้ชื่นชมความสวยงามของดอกไม้หลากสีที่ผลิบานสวยสะพรั่งตามถนนหนทางและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศจะอุ่นสบายแต่ไม่ชื้นจนเกินไป จึงเหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและเดินสำรวจภูมิทัศน์ที่สวยงามของเกาหลี

    นอกจากนี้ ดอกซากุระยังบานสะพรั่งในช่วงเวลานี้อีกด้วย การที่ถ่ายรูปแล้วมีฉากหลังเป็นทิวดอกซากุระสีชมพูหวานที่สวยงามจะกลายเป็นภาพประทับใจที่เติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับการเดินทางของคุณ แม้ฤดูนี้อาจจะมีฝนตกเล็กน้อยในบางวัน แต่เชื่อเถอะว่าฝนปรอย ๆ มักจะไม่กระทบต่อแผนการท่องเที่ยวของคุณ

    ส่วนคนที่ชอบอากาศเย็นสบายและไม่ต้องสวมเสื้อกันหนาวหนา ๆ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเยือนเกาหลีคือ ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ ระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนของทุกปี ช่วงเวลานี้อุณหภูมิจะค่อนข้างเย็นสบาย ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี คุณจึงได้เห็นภูมิทัศน์ที่สวยงามของใบไม้สีเหลือง ส้ม แดง ที่ดูงดงามไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งฤดูใบไม้ร่วงยังเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่านน้อยกว่าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน คุณจึงได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ผ่อนคลายและเงียบสงบมากขึ้น แม้บางวันคุณอาจจะต้องเจอกับลมฝนบ้างก็สวยงามไปอีกแบบ

    แต่สำหรับคนที่ชอบอากาศหนาวเย็นและต้องการถ่ายรูปกับหิมะขาวละมุนตา ช่วงเวลาที่คุณน่าจะชื่นชอบคือ เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ฤดูนี้ไม่เหมาะกับคนขี้หนาวและคนที่ไม่ชอบสวมเสื้อผ้าหนา ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศค่อนข้างหนาวจัด และสถานที่ท่องเที่ยวกลางแจ้งหลายแห่งอาจปิดหรือไม่สามารถไปเยือนได้ ยกเว้นคนที่อยากไปร่วมงานเฉลิมฉลอง ‘วันซอลลัล’(설날*) หรือ ‘เทศกาลตรุษเกาหลี’ วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติและเป็นวันหยุดประจำชาติของเกาหลี ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี คุณก็จะเห็นบรรยากาศของการเฉลิมฉลองและการตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ ที่ชวนให้เพลิดเพลินไปอีกแบบ ในท้ายที่สุดแล้ว “เที่ยวเกาหลีเดือนไหนดี” ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและประสบการณ์ที่คุณกำลังมองหาเป็นสำคัญ

empty-street-between-houses-in-korea

แจกแพลนเที่ยวเกาหลี 7 วัน 6 คืน

วันที่ 1: หมู่บ้านบุกซอนฮันอก - พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านมินฮวา - ชอปปิงสุดมันที่อินซาดง

    เริ่มต้นทริปสุดประทับใจที่ Bukchon Hanok Village หมู่บ้านบุกชอนฮันอก เป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุเกือบร้อยปี ถือเป็นที่เที่ยวเกาหลีที่เหมาะกับการศึกษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเกาหลีได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำว่าถ้าต้องการเจาะลึกทุกซอกซอยให้แวะไปขอแผนที่และสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวก่อนเป็นอันดับแรก หมู่บ้านแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์มากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านมินฮวา (Gahoe Minhwa) พิพิธภัณฑ์เย็บปักถักร้อย (Hansangsoo Embroidery) ให้เที่ยวชมและร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตลอดวัน

** Tips: แนะนำให้คุณซื้อตั๋วคอมโบจากเจ้าหน้าที่ระหว่างขอแผนที่เที่ยวชม Bukchon Hanok Village หมู่บ้านบุกชอนฮันอก ได้เลยเพื่อความสะดวกสบาย หลังจากเดินจนหิวท้องร้องก็ลองชิมอาหารเกาหลีแท้ ๆ ที่ร้านเกี๊ยวยักษ์ชื่อดัง ‘Hwangsaengga Kalguksu’ จากนั้นเดินต่อไปที่อินซาดง (Insadong) ถนนคนเดินสุดฮิปที่รวมร้านขายงานศิลปะและงานฝีมือพื้นบ้านให้เลือกช็อปกันจนล้มละลาย 

    เสร็จแล้วแวะจิบชาเขียวออร์แกนิกกันที่ร้าน ‘O’Sulloc’ หรือ ‘Pajeon’ แป้งบางทอดกรอบรสชาติกลมกล่อม จากนั้นให้เดินช็อปปิ้งรอจนถึง 2 ทุ่ม เพื่อชมการแสดงพื้นบ้าน ‘Miso’ ละครใบ้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวรักสามเส้าได้อย่างสวยงามและน่าประทับใจ

white-and-gray-tower-under-blue-sky-during-daytime

วันที่ 2: N Seoul Tower - หมู่บ้านจำลอง Namsangol Hanok Village - ย่านชอปปิงดงแดมุน

    วันที่สองเราชวนคุณมาเที่ยวแบบผ่อนคลายและเริ่มต้นวันใหม่ด้วยที่เที่ยวเกาหลีอันโด่งดังคือ ‘N Seoul Tower’ หอคอยสูงตระหง่านที่สามารถมองเห็นกรุงโซลได้ทั้งเมือง ที่พลาดไม่ได้คือการคล้องกุญแจคู่รัก ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ความรักมั่นคงตราบชั่วนิรันดร์ ก่อนจะลงไปชมหมู่บ้านจำลอง ‘Namsangol Hanok Village’ ที่ย้ายบ้านฮันอกสวย ๆ มารวมกันไว้ในที่เดียว พร้อมให้คุณเพลิดเพลินกับการชมกิจกรรมพื้นบ้านของชาวเกาหลีในสมัยโบราณ จากนั้นแวะชิมเกี๊ยวยักษ์วังมันดูแสนอร่อยที่ร้าน ‘Myeongdong Kyoja’ ก่อนไปช็อปปิ้งกันต่อในย่านดงแดมุน (Dongdaemun) แหล่งชอปปิง 24 ชั่วโมงที่รวบรวมร้านค้ากว่า 30,000 ร้าน ให้เลือกช็อปอย่างจุใจ

brown-and-black-concrete-building-under-blue-sky

วันที่ 3: พระราชวังเคียงบกกุง - พระที่นั่งคึนจองวอง- พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ – คลองชองกเยซอน - ร้านค้าปลอดภาษีดงฮวา

    ถึงเวลาติวเข้มชั่วโมงประวัติศาสตร์กันที่ ‘พระราชวังเคียงบกกุง’ (Gyeongbokgung Palace) มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘พระราชวังคยองบกกุง’ หรือ ‘พระราชวังทิศเหนือ’ เนื่องจากตั้งอยู่ทางทิศเหนือนั่นเอง พระราชวังแห่งนี้เป็นสัญญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของกรุงโซล มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในกรุงโซล สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1394 สมัยพระเจ้าแทโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน เดิมทีภายในพระราชวังมีอาคารและตำหนักต่าง ๆ มากกว่า 200 หลัง แต่หลังจากการรุกรานของจักรวรรดิญี่ปุ่น อาคารส่วนใหญ่ภายในพระราชวังเคียงบกกุงก็ได้ถูกทำลายลงเหลืออยู่เพียงแค่ 10 หลังเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม พระราชวังเคียงบกกุงนั้นขึ้นชื่อว่า เป็นพระราชวังที่สวยงามที่สุดของเกาหลี เนื่องจากฉากหลังของพระราชวังเป็นเขาพูกักซาน (Bakhansan Moutain) จึงทำให้พระราชวังดูยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก โดยคำว่า ‘เคียงบกกุง’ หมายถึง พระราชวังแห่งพรที่มีแสงสว่าง

    ภายในพระราชวังแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอย่าง ‘พระที่นั่งคึนจองวอง’ (Geunjeongjeon) และ ‘ศาลาเคียงฮวยรู’ (Hyangwonjeong) ตั้งอยู่ภายในบริเวณสระน้ำ ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงาม รอบบริเวณตรงประตูจอนชุลมุนสามารถเดินผ่านไปถึงถนนซัมจองดองกิล (Samcheongdong-gil Street) มีร้านเช่าชุดฮันบกอันให้เลือกชม หรือจะซื้อติดมือกลับบ้านก็ได้เช่นกัน รวมถึงอดีตทำเนียบของประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ‘ชองวาแด’ (Cheongwadae) ภาษาเกาหลีหมายถึง ‘บ้านสีน้ำเงิน’ (Blue House)

    นอกจากนี้ภายในพระราชวังเคียงบกกุงยังมี ‘พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ’ (National Palace Museum of Korea) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของประตูฮึงรแยมุน (Heungnyemun Gate) และ ‘พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ’ (National Folk Museum) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกภายในพื้นที่พระราชวังอีกด้วย

    จากนั้นเดินลัดเลาะสู่ ‘คลองชองกเยซอน’ (Cheonggyechon Stream) เพื่อถ่ายรูปกับประติมากรรมรูปหอยชื่อดังอย่าง ‘Spring’ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดใช้คลองที่กลายเป็นแหล่งชิลล์เอาต์ของชาวเกาหลีและนักท่องเที่ยว จากนั้นแวะไปหาหนังสือน่าอ่านที่ร้าน Kyobo Bookstore ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโซล หรือช็อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีที่ ‘ร้านค้าปลอดภาษีดงฮวา’ (Dongwha Duty Free) รับรองว่า คุณจะได้ของขวัญของฝากติดมือกลับบ้านเพียบเลยล่ะ

** Tips: อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่พระราชวังเคียงบกกุง คือการผลัดเปลี่ยนเวรยามในช่วงเวลา 10.00 น. 13.00 น. และ 15.00 น. ของทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งภายในพระราชวังแห่งนี้ ได้แก่ National Folk Museum และ National Palace Museum จากนั้นเดินต่อไปที่ Gwanghwamun Plaza จัตุรัสใหญ่ที่ตั้งประดิษฐานรูปปั้นกษัตริย์เซจงมหาราชและนายพลยีซุนชิน นักรบผู้ยิ่งใหญ่

วันที่ 4: พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ – พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย - ย่านชอปปิงเมียงดง

    เริ่มต้นกันที่ย่านยงซาน (Yongsan) เที่ยวชม ‘National Museum of Korea’ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก เข้าชมโบราณวัตถุอันล้ำค่า อาทิ มงกุฎทองคำ เจดีย์สิบชั้น และอนุสรณ์สถานแห่งสงครามเกาหลี (War Memorial of Korea) ที่สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความความโหดร้ายและผลกระทบของ สงครามอันเป็นที่มาของการแบ่งดินแดนเกาหลีออกเป็นสองประเทศ จากนั้นไปเที่ยวกันต่อที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Leeum Museum of Art) หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ของบริษัทซัมซุง ตัวอาคารได้รับการออกแบบโดย 3 สถาปนิกชื่อดังระดับโลก และเป็นสถานที่รวมผลงานศิลปะหลากสไตล์นับร้อยชิ้น 

    จากนั้นช่วงเย็นไปเดินเล่นที่เที่ยวเกาหลีชื่อดังอย่าง ‘เมียงดง’ (Myeongdong) แหล่งชอปปิงที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงโซล สถานที่รวมร้านค้าแฟชั่น ความงาม สนีคเกอร์ อุปกรณ์อิเล็กทริอนิกส์ และ Gadget ต่าง ๆ ที่มีให้เลือกมากมาย เมียงดงยังเป็นย่านที่มีห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ถึงสองแห่งอย่าง ห้างล็อตเต้ (Lotte) และห้างชินเซแก (Shinsegae) รวมถึงสตาร์อเวนิว (Star Avenue) แหล่งชอปปิงที่สายติ่งไม่ควรพลาด ใครหิวต้องแวะไปชิมรถเข็นขายต๊อกโบกี (Tteokbokki) โดยเฉพาะร้านต๊อกโบกีเก่าแก่บริเวณหน้านูนสแควร์ (Noon Square) แหล่งชอปปิงที่รวมสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก ที่ดูจากคิวแล้วก็รู้ว่าต้องอร่อยเด็ดแน่นอน!

วันที่ 5: ชอปปิงย่านฮงแด – ชมงานศิลปะในตึกรูปผีเสื้อ – จิบกาแฟในพิพิธภัณฑ์ - เดินเล่นถนนปิกัสโซ 

    ถึงเวลาอัปเดตเทรนด์แฟชั่นและความงามในย่านสุดฮิปของนักศึกษาเกาหลีกันแล้ว เดินทางไปที่แหล่งที่เที่ยวเกาหลีของเหล่านักศึกษา Hongik University ย่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของเกาหลีและเป็นต้นกำเนิดของงานศิลปะเก๋ ๆ หรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า ‘ย่านฮงแด’ (Hongdae) ให้อารมณ์เหมือนสยามสแควร์บ้านเราที่มีสินค้าเก๋ ๆ ให้เลือกมากมาย

    อย่าลืมแวะถ่ายรูปเซลฟี่และชมงานศิลปะภายในตึกรูปผีเสื้อดีไซน์แปลกตา ‘Sangsangmadang’ พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ การแสดงดนตรี และภาพยนตร์นอกกระแสของเกาหลี หากยังมีเวลาเหลือพอแนะนำให้นั่งพักจิบกาแฟพร้อมชมงานศิลปะที่ ‘Café aA Design Museum’ คาเฟ่กึ่งพิพิธภัณฑ์สุดฮิป (ที่อยู่ในเพลง Only One ของโบอา) คาเฟ่ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2007 โดยคำว่า ‘aD’ เป็นชื่อย่อของ Art, Architecture และ Alive  จากนั้นไปเดินชมงานศิลปะและสตรีทอาร์ตสวย ๆ กันต่อบน ‘ถนนปิกัสโซ’ (Picasso’s Street) 

วันที่ 6: ทัวร์ชมเขตปลอดทหาร - ไนท์ไลฟ์ที่อิแทวอน

    สถานที่เที่ยวเกาหลีอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด เพียงแต่คุณจำเป็นต้องใช้บริการบริษัททัวร์เท่านั้นคือ ‘เขตปลอดทหาร’ (Demilitarized Zone หรือ DMZ) ที่เที่ยวเกาหลีที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวไปเองเป็นอันขาด เพราะที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์การรบที่เปราะบางและไม่เปิดให้ท่องเที่ยวอย่างอิสระ ดังนั้น คุณจึงขับรถมาเที่ยวเองไม่ได้เพื่อความปลอดภัย แต่เป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวเกาหลีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์สงครามเกาหลี การแบ่งแยกประเทศ และสงครามเย็นระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ รวมถึงอุโมงค์ลับแห่งที่ 3 ที่เกาหลีเหนือขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในการรุกรานเกาหลีใต้ คุณยังสามารถมองเห็นเกาหลีเหนือจากหอสังเกตการณ์โดราซาน (Dorasan Observatory) ได้อีกด้วย

    ก่อนจะกลับอย่าลืมแวะไปเที่ยวชมไนท์ไลฟ์ที่ ‘อิแทวอน’ (Itaewon) ย่านการค้าเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1970 ยุคที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพในกรุงโซล ปัจจุบันอิแทวอนเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารเกาหลีชื่อดังอีกแห่งของกรุงโซล ถนนระยะทางประมาณ 1.4 กิโลเมตรแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับ บาร์ และร้านค้ามากมาย หากใครเป็นคอดนตรีแจ๊สแนะนำร้าน ‘The Bungalow’ หนึ่งในสามผับยอดนิยมของคอดนตรีแจ๊สแห่งแดนกิมจิ

วันที่ 7: ตะลุยชอปหรูที่ย่านกังนัม – ตะลุยปารีสแห่งกรุงโซล ‘กาโรซูกิล’

    วันสุดท้ายต้องไม่พลาดที่เที่ยวเกาหลีสุดไฮโซที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ‘กังนัม’ (Gangnam) ต้นกำเนิดเพลงดัง Gangnam Style เดินทางสะดวกสบายด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินข้ามแม่น้ำฮันลงที่สถานี Apgujeong เพื่อชมเบเวอร์รี่ฮิลล์ของกรุงโซล ถนนสายหลักเส้นนี้เรียงรายด้วยชอปใหญ่ของแบรนด์ดังและห้างสรรพสินค้าสุดหรูมากมาย โดยเฉพาะ The Galleria ศูนย์กลางการชอปปิงของถนนสายนี้

    ช่วงบ่ายแวะไปตะลุยปารีสแห่งกรุงโซลกันต่อที่ ‘กาโรซูกิล’ (Garousugil) ถนนสายแฟชั่นสุดฮิปที่มีต้นแปะก๊วยเรียงรายเป็นทิวทัศน์ตลอดสองข้างทาง โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ใบไม้จะเปลี่ยนสีสวยงามไปทั้งถนน แวะเลือกชมเสื้อผ้าแฟชั่นดีไซน์เก๋สองข้างทาง หากเหนื่อยนักก็แวะพักจิบกาแฟที่คาเฟ่น่ารัก ๆ ที่มีให้เลือกมากมาย รวมถึงร้านดัง ‘Le Alaska’ แนะนำให้สั่งเมนู Marshmallow Hot Chocolate และขนมปัง Tree Nuts จากนั้นก็กลับที่พักไปเก็บกระเป๋า และเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองไทยแบบประทับใจไม่รู้ลืม

    แน่นอนว่า หากจะเที่ยวเกาหลีให้สนุก อุ่นใจ หมดกังวลเรื่องการเจ็บป่วยและทรัพย์สินสูญหายระหว่างการเดินทาง อย่าลืมซื้อประกันเดินทางต่างประเทศของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ผู้ช่วยที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณอุ่นใจในต่างแดน สอบถามข้อมูลการคุ้มครองประกันภัยได้ที่โทร. 0-2611-4242

ข้อมูลเที่ยวเกาหลี

  • ภาษา เกาหลี
  • เวลา   เร็วกว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง
  • สกุลเงิน   วอน (KRW)  
  • อัตราแลกเปลี่ยน   1000 วอน  =  26.78 THB  (อัตราแลกเปลี่ยน ณ เดือนพฤษภาคม 2567)
  • ไฟฟ้า   220 โวลต์เหมือนกับประเทศไทย แต่เป็นปลั๊กขากลมสองขา
  • วีซ่า   บุคคลสัญชาติไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และอยู่ได้สูงสุด 90 วัน หนังสือเดินทางต้องมีอายุเกิน 6 เดือน

เกร็ดความรู้ก่อนตะลุยเที่ยวเกาหลี

  1. บ้านฮันอกสร้างขึ้นจากเสาไม้และกำแพงดินโคลน ลานหน้าบ้านหรือเฉลียงทำจากไม้ มักจะมีสวนหย่อมเล็ก ๆ บริเวณบ้าน มีระบบทำความร้อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยไอร้อนจากห้องครัวจะส่งมาตามช่องด้านล่างของตัวบ้านที่เรียกว่า ‘อนดล’ (Ondol) เพื่อให้บ้านอุ่นขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ห้องนอนของบ้านฮันอกมักตั้งอยู่ติดกับห้องครัวนั่นเอง
  2. ‘แฮชิ’ (Haechi) เป็นสัตว์ในเทพนิยายจีนและเกาหลีโบราณ ลูกผสมของสิงโตและมังกร เชื่อกันว่าเจ้าแฮชิฉลาดหลักแหลม รู้จักแยกผิดชอบชั่วดี และป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ คนโบราณจึงนิยมตั้งรูปปั้นแฮชิไว้เพื่อเฝ้าหน้าประตูทางเข้าพระราชวังต่าง ๆ อีกทั้งรัฐบาลเกาหลียังเลือกแฮชิเป็นสัตว์สัญลักษณ์ หรือมาสคอตประจำกรุงโซลอีกด้วย
  3. ถนนหนทางในโซลอาจไม่มีชื่อถนนหรือชื่อซอยกำกับ ยิ่งไปกว่านั้น บ้านเลขที่ หรือเลขที่ตั้งของอาคารก็ไม่ได้เรียงกันตามหลักสากล ดังนั้น ควรศึกษาแผนที่ของเกาหลีและสถานีรถไฟต่าง ๆ ให้ดี ถ้าหลงแนะนำให้ติดต่อสายด่วนนักท่องเที่ยวโทร. 1130 ได้ทุกเวลา
  4. ที่สถานีรถไฟ Seoul มีบริการ In Town Check In สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋ว AREX และเดินทางโดยสายการบิน Korean Air, Asiana Airlines และ Jeju Air ที่เริดไปกว่านั้นคือ ที่นี่มีบริการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้ผู้ที่ซื้อบัตร AREX ใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย

รวมค่าใช้จ่ายเที่ยวเกาหลี 7 วัน 6 คืน

  • ค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 10,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการเดินทาง)
  • ค่าที่พักประมาณ 25,000 บาท
  • ค่าอาหารประมาณ 10,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
  • ค่าเข้าชมสถานที่ประมาณ 5,000 บาท
  • ค่าเดินทางประมาณ 5,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับยานพาหนะและบริการขนส่งสาธารณะ)
  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประมาณ 4,500 บาท
  • ประกันการเดินทางของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) สำหรับ 7 วัน เริ่มต้นที่ 454 บาท (ก่อนลดราคา)

รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000 บาท / คน*

หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายข้างต้นเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตามข้อมูลทางสถิติที่บริษัทเก็บรวบรวม ข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในแพลนการท่องเที่ยวนี้ ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ ผู้ใดทำการปรับเปลี่ยนแก้ไข หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัท บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการนำไปใช้ดังกล่าว