
‘อินโดนีเซีย’ อัญมณีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าของรางวัล 1 ใน 10 ประเทศในฝันสวรรค์แห่งการพักผ่อนปี 2019 จากการโหวตของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในเว็บไซต์ Lonely Planet ประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา และภาษา ครอบครองหมู่เกาะน้อย-ใหญ่กว่า 17,000 เกาะ ที่มีความหลากหลายของภูมิประเทศและธรรมชาติที่งดงามราวต้องมนต์ ทำให้การเดินทางไปเที่ยวอินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่คนรักธรรมชาติและประวัติศาสตร์ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
อินโดนีเซียหรือที่คนไทยเรียกว่า ‘แดนอิเหนา’ ด้วยเป็นบ้านเกิดของวรรณกรรมชั้นครูของไทยเรื่องอิเหนา ที่ได้แรงบันดาลใจจากวรรณคดีอินโดนีเซียเรื่อง “หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง” นอกจากนี้ ไทยและอินโดนีเซียยังเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสัมพันธอันดีมาตั้งแต่อดีตกาล โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงประทับใจในความสวยงามของธรรมชาติ วัฒนธรรมการแต่งกายของชวา และแหล่งโบราณคดี ถึงขนาดที่พระองค์ถ่ายทอดเป็นหนังสือที่จดบันทึกเรื่องราวการเดินทางไปเยือนชวาถึง 3 ครั้ง ทำให้การไปเที่ยวอินโดนีเซียได้รับความสนใจจากคนไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน แดนอิเหนาแห่งนี้ก็ยังมีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย
ชับบ์รวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวอินโดนีเซียในฝันของนักเดินทาง เพื่อใครอยากตามรอยความรักของอิเหนาและบุษบา สักการะสถานที่สำคัญทางศาสนา บูชาเทพเจ้าฮินดู ดำน้ำดูโลกใต้ทะเล เล่นเซิร์ฟ หรือสนุกกับกิจกรรมผจญภัยใต้แสงแดดอุ่นในฤดูร้อน แน่นอนว่า การจะเที่ยวอินโดนีเซียให้สนุกในทุกกิจกรรมคุณต้องมีประกันภัยการเดินทางต่างประเทศของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ไปด้วยเพื่อความอุ่นใจ
บาหลีหรือที่รู้จักกันในชื่อ “เกาะแห่งเทพเจ้า” เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอินโดนีเซีย เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญของศาสนาฮินดูที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกแห่ง ทั้งยังมีชายหาดที่สวยงาม เช่น หาดกูตา (Kuta Beach) หาดเซมินยัค (Seminyak Beach) และหาดนูซาดัว (Nusa Dua Beach) ให้คุณสนุกกับกิจกรรมทางน้ำมากมาย อย่างการโต้คลื่น ดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก หรือนอนอาบแดด บาหลียังเป็นที่ตั้งของสวนน้ำและสวนสนุกหลายแห่ง จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวและผู้ชื่นชอบการผจญภัย
นอกจากนี้ บาหลียังขึ้นชื่อในด้านมรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่ ที่มีศาสนสถาน วัดวาอาราม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ที่สะท้อนถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของอินโดนีเซีย วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งคือ “วัดปุราเบซากีห์” (Pura Besakih Temple) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วัดหลวงแห่งบาหลี" (Mother Temple) หนึ่งในวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของอินโดนีเซีย อีกทั้งบาหลียังเป็นสวรรค์ของคนรักแสงสียามค่ำคืนและการช็อปปิงอีกด้วย ในยามค่ำคืนจะมีถนนคนเดินหลายแห่งที่มอบประสบการณ์การช็อปปิงที่แตกต่างกัน เแค่มีวันหยุดยาวเที่ยวบาหลี 3 วัน 2 คืนก็มานอนดูดาวริมหาดทรายบนเกาะบาหลีได้เลย
ยอร์คยาการ์ตา (Yogyakata) เป็นเขตปกครองพิเศษตั้งอยู่กลางเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เดิมมีชื่อว่า “อโยธยา” (Ayodhya) ตั้งตามชื่อเมืองโบราณในวรรณคดีรามยาณะ เป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งโบราณสถานเก่าแก่และปราสาทหินของอารยธรรมชาวอายุกว่าพันปี และเป็นที่ตั้งของมหาเจดีย์บุโรพุทโธ (Borobudur) และปรัมบานัม (Prambanan Temple Compounds) ที่สวยงามที่สุดในเอเชียใต้และเป็นเทวสถานเก่าแก่ในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ สร้างขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 13 และได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี ค.ศ. 1991
อีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องไปเยี่ยมชมคือ “พระราชวังยอคยาการ์ตา” (The Royal Palace of Yogyakata) พระราชวังแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมชวาและที่ประทับขององค์สุลต่านแห่งยอร์คยาการ์ตา คุณสามารถเที่ยวชมพระราชวังและเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวชวา ผ่านความสวยงามของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ รวมถึงปราสาทน้ำ “ทามันซารี” (Taman Sari) พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากสถาปัตยกรรมของยุโรป สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนของสุลต่านหลังยุคสงคราม ภายในมีโรงอาบน้ำ ทะเลสาบเทียมขนาดใหญ่ สระน้ำ อุโมงค์ใต้ดิน และสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงาม จนคุณสัมผัสถึงวิถีชีวิตอันหรูหราและจินตนาการถึงช่วงเวลาแห่งความสุขขององค์สุลต่านได้เลย
จาการ์ตายังขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อยและมีเอกลักษณ์ คุณสามารถลิ้มลองอาหารดั้งเดิมจนถึงอาหารข้างทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเมนูห้ามพลาดคือ บักโซ (Bakso) หรือ ‘บาโซ’ คล้ายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส แต่รสชาติมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ทั้งยังเป็นเมนูยอดนิยมของคนท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ คุณยังผ่อนคลายไปกับจาร์กาตายามค่ำคืนได้อย่างสนุกสนาน
หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มคนชอบเดินป่าคือ “อุทยานแห่งชาติโคโมโด” (Komodo National Park) ถิ่นที่อยู่ของมังกรโกโมโดอันโด่งดังไปทั่วโลก ครอบคลุมพื้นที่ 1,817 ตารางกิโลเมตร และประกอบด้วย 3 เกาะหลักคือ โกโมโด (Komodo Island) รินจา (Rinca) และปาดาร์ (Padar Island) ซึ่งเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในอดีต เกาะแห่งนี้ก่อตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติฯ เมื่อปี ค.ศ. 1980 เพื่ออนุรักษ์เหล่ามังกรโคโมโดที่พบได้บนเกาะโกโมโดเท่านั้น ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1991 และเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทางธรรมชาติยุคใหม่ (New 7 Wonders of Nature) อีกด้วย
นอกจากจะมาเที่ยวบ้านของมังกรโกโมโดและสัตว์ป่าหลายสายพันธุ์แล้ว อุทยานแห่งนี้ยังมีชายหาดสีชมพู (Pink Beach) ที่มีเสน่ห์และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังมีจุดดำน้ำให้คุณสัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของโลกใต้ทะเลและสัตว์น้ำหลายสายพันธุ์ เช่น กระเบนราหู ปลาแสงอาทิตย์ ฉลามวาฬ ม้าน้ำแคระ หมึกวงแหวน และแนวประการังที่มีสีสันสวยงาม แต่หากคุณอยากสัมผัสกับมังกรโกโมโดต้องมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ คอยดูแลความปลอดภัย และไม่ควรพุ่งตัวเข้าไปเล่นด้วยความเอ็นดูน้อง ๆ โดยเด็ดขาดเพราะอาจเสี่ยงอันตรายได้ ทางที่ดีควรซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศของชับบ์ไปด้วยจะได้อุ่นใจ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในอินโดนีเซีย “บุโรพุทโธ” (Borobudur) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1991 พุทธสถานที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 และเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักโบราณคดีทั่วโลกต่างก็ชื่นชมสถาปัตยกรรมและการออกแบบ ที่สะท้อนถึงฝีมือเชิงช่างและความคิดสร้างสรรค์ของชาวชวาโบราณได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีงานแกะสลักและประติมากรรมอันวิจิตรประณีตประดับประดาบนผนังและเสาต่าง ๆ ภายในบุโรพุทโธ
นอกจากนี้ บุโรพุทโธยังเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยการออกแบบและสถานที่ตั้งอันเป็นเอกลักษณ์จึงเป็นจุดถ่ายรูปรับอรุณที่สวยงามไม่เหมือนที่ใดในโลก ท่ามกลางไอหมอกบาง ๆ ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ พร้อมดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติและสัมผัสความสุขสงบได้ภายในพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะชาวพุทธที่ควรหาโอกาสมาเที่ยวชมสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของบุโรพุทโธสักครั้งในชีวิต
หมู่เกาะราชาอัมพัต (Raja Ampat) เป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดำน้ำอย่างแท้จริง และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่มีความหลากหลายของระบบนิเวศน์ รวมถึงแนวปะการังอันบริสุทธิ์และสีสันสดใส ราชาอัมพัตมอบประสบการณ์ใต้น้ำที่ยอดเยี่ยมมากมายสำหรับนักดำน้ำทุกระดับ โดยคำว่า “ราชาอัมพัต” หมายถึง 4 จอมราชา เพราะประกอบด้วยเกาะขนาดใหญ่ 4 เกาะ นั่นคือ Waigeo, Misool, Slawati และ Batanta แล้วยังมีเกาะบริวารน้อยใหญ่กว่า 1,500 เกาะ และเป็นดินแดนแห่งม้าน้ำแคระ (Pygmy Seahorse) ม้าน้ำขนาดจิ๋วที่มีมากกว่า 4-5 สายพันธุ์ ทั้งยังพรางตัวเข้ากับกัลปังหาและสภาพแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน
นอกจากสัตว์ทะเลหายากและทิวทัศน์ใต้ท้องทะเลที่สวยงาม ราชาอัมพัตยังมีชื่อเสียงในด้านภูมิประเทศที่มีความหลากหลาย และเป็นที่อยู่อาศัยของนกหายากอย่าง “ปักษาสวรรค์แดง” (Bird of Paradise) ที่สวยงามและพบได้ในหมู่เกาะราชาอัมพัต นั่นทำให้ราชาอัมพัตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมนกและระบบนิเวศน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอินโดนีเซีย ไม่ว่าคุณจะสำรวจโลกใต้ทะเล ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมพื้นบ้าน หรือชมนกประจำถิ่น ราชาอัมพัตก็เป็นสวรรค์แห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุดอีกแห่งสำหรับคุณ
อูบุด (Ubud) ตั้งอยู่ในใจกลางเกาะบาหลี เป็นสถานที่ที่คุณจะได้หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่เพื่อผ่อนคลายท่ามกลางเมืองอันเงียบสงบ อูบุดเป็นที่รู้จักในเรื่องนาขั้นบันไดอันเขียวชอุ่ม โบราณสถาน วัดวาอาราม และวิหารศักดิ์สิทธิ์ นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลิงแสมบาหลีกว่า 700 ตัว หรือเยี่ยมชมวัดเทอตา เอมปูล (Tirta Empul) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์” เชื่อกันว่า น้ำพุภายในวัดแห่งนี้มีพลังในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายขาด
เทอตา เอมปูล สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ตามหลักศาสนาฮินดูเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำ โดยน้ำพุที่ใสสะอาดเปรียบเสมือน “น้ำอมฤต” เพราะคำว่า “Tirta” ในภาษาอินโดนีเซียแปลว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์” (Holy Water) ชาวฮินดูยังเชื่อด้วยว่า การได้ชำระร่างกายในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เหมือนเข้าพิธีชำระบาปและขจัดโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ อูบุดยังเป็นศูนย์กลางการฝึกโยคะและมีสตูดิโอหลายแห่งที่เปิดสอนเวิร์คช็อปสำหรับการฝึกโยคะทุกระดับ
หากคุณฝันถึงการพักผ่อนบนเกาะที่เงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน และธรรมชาติยังบริสุทธิ์อยู่มาก ไม่มีที่ไหนจะตอบโจทย์คุณไปว่า “หมู่เกาะกีลี” (Gili Islands) เกาะเล็ก ๆ 3 เกาะนอกชายฝั่งทะเลของเกาะลอมบอกอีกแล้ว หมู่เกาะกิลีประกอบด้วย กิลี ตราวางัน (Gili Trawangan) กิลี เมโน (Gili Meno) และกิลี แอร์ (Gili Air) เป็นสวรรค์อันเงียบสงบสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนริมหาดทรายสีขาวนวลตา เนื่องจากไม่อนุญาตให้ใช้ยานยนต์บนเกาะสวรรค์แห่งนี้ คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติและน้ำทะเลสีครามที่ใสสะอาดราวกับสถานที่พักตากอากาศส่วนตัว
แน่นอนว่า กิจกรรมยอดนิยมบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ จะมีอะไรเพลิดเพลินไปกว่าการดำน้ำที่มีทั้งการดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก ผจญภัยใต้ท้องทะเลไปกับสัตว์ทะเลหลายสายพันธุ์ รวมถึงเต่าทะเลและปลาหลากสีสัน โดยเกาะกิลี ตราวางัน ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการพัฒนามากที่สุด จึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทและโรงแรมหรูมากมาย แต่ถ้าคุณมองหาความเงียบสงบบนชายหาดที่แสนโรแมนติกและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เกาะกิลี เมโน เป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณและคนพิเศษ
อัญมณีเม็ดงามอย่าง “ลอมบอก” (Lombok Island) เจ้าของฉายา "Hidden Gem” แห่งอินโดนีเซีย เกาะทางฝั่งตะวันออกของบาหลีแห่งนี้เต็มไปด้วยภูมิประเทศและความงามของท้องทะเล รวมถึงภูเขาไฟรินจานี (Mount Rinjani) ภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับสองในอินโดนีเซีย และเป็นจุดหมายที่ท้าทายสำหรับนักปีนเขาทั่วโลก ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านซาซัก (Sasak) ชนพื้นเมืองของลอมบอกและบาหลี ที่คุณสามารถสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี และวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างเพลิดเพลิน
นอกจากนี้ ลอมบอกยังมีความงามของ “น้ำตกเซ็นดังกิเล” (Sedang Gila) น้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของลอมบอก และหาดทรายสีชมพู (Pink Tangi Beach) ที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งของอินโดนีเซีย สีชมพูของผืนทรายตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล ส่วนคนที่รักการดำน้ำจะได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติใต้ทะเล แล้วยังเป็นสวรรค์ของการโต้คลื่น ทำให้ลอมบอกเป็นจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาดสำหรับผู้ที่แสวงหาความสวยงามทางธรรมชาติ การผจญภัย และวัฒนธรรมแปลกใหม่ในอินโดนีเซีย
เกาะสุลาเวซี (Sulawesi Island) ได้รับการขนานนามว่า “เกาะกล้วยไม้” หนึ่งในเกาะซุนดาใหญ่ของอินโดนีเซีย อบอุ่นด้วยสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมมอบประสบการณ์การดำน้ำระดับเวิล์ดคลาส อุดมด้วยที่อยู่อาศัยของแนวปะการังที่มีสีสันและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่หลากหลาย สุลาเวซีเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดสำหรับคนที่รักการผจญภัยและวัฒนธรรมเก่าแก่ เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงชาวบูกิส (Bugis) กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของสุราเวซี ที่มีทักษะในการจับปลาและเดินเรือสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
อีกหนึ่งไฮไลต์ของสุลาเวซีคือ กลุ่มหินโบราณปริศนาบนหุบเขาบาดา (Bada Valley) ที่มีความคล้ายคลึงกับโมอายบนเกาะอีสเตอร์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเกาะสุลาเวซี สะท้อนให้เห็นผ่านอาคารบ้านเรือน สถานที่สำคัญทางศาสนา ดนตรี ศิลปะ การร่ายรำ และอาหารพื้นบ้าน ซึ่งคุณสามารถสัมผัสได้ผ่านประเพณีและเทศกาลต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิมและชมศาสนสถานเก่าแก่ของสุราเวซี รวมถึงการนั่งเรือท้องกระจกชมความสวยงามใต้ท้องทะเลในมุมที่แตกต่าง ซึ่งเกาะสุลาเวซีพร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เหมือนใคร
เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาการ์ตา (Jakarta) เป็นศูนย์กลางความทันสมัยและการเดินทางไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซียได้อย่างสะดวกสบาย หากอยากสัมผัสศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของจาการ์ตาต้องไม่พลาดเมืองเก่าปัตตาเวีย (Batavia Old Town) ที่มีสถาปัตยกรรมยุโรปยุคล่าอาณานิคม พิพิธภัณฑ์ฟาตาฮิลลาห์ (Fatahillah Museum) พิพิธภัณฑ์หุ่นกระบอกพื้นเมือง (Puppet Museum) พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์และเซรามิก (Museum of Fine Arts and Ceramics) และมหาวิหารจาการ์ตา (Jakarta Cathedral)
อีกหนึ่งไฮไลต์ของจาการ์ตาคือ “โกลดอก” (Glodok China Town) ย่านชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหนึ่งในย่านชาวจีนที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ที่คุณจะได้อร่อยกับอาหารอร่อยที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวจีนและอินโดนีเซียเข้าด้วยกัน รวมถึงสนุกกับการต่อราคาสินค้าที่ตลาดเปตัก เซมบิลัน (Petak Sembilan Market) และสักการะวัดวิหารธรรมะภักดี (Vihara Dharma Bhakit) วัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของจาการ์ตา
ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกันยายน คุณจะเพลิดเพลินกับความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวมากมายภายใต้ท้องฟ้าที่แจ่มใส และอุณหภูมิที่ไม่ร้อนจนเกินไป ฤดูร้อนยังเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง และสำรวจสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดคือเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งตรงกับวันหยุดฤดูร้อนของชาวยุโรป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหนาแน่นและค่าที่พักก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ฤดูมรสุมหรือฤดูฝนของอินโดนีเซียเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม ทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ ๆ แม้ว่าการเดินทางในช่วงเวลานี้อาจจะถูกกว่าฤดูร้อน แต่ก็มีโอกาสเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม และการเดินทางทางเรือหยุดชะงัก แต่คุณก็ยังสามารถเที่ยวบาหลีได้อย่างเพลิดเพลินและมีนักท่องเที่ยวบางตา แม้จะเจอฝนตกและฟ้าหม่นในบางวัน แต่ท้ายที่สุดแล้วช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเที่ยวอินโดนีเซียขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน เพราะไม่ว่าจะฤดูฝนหรือฤดูร้อนก็มอบประสบการณ์และโอกาสในการผจญภัยที่ไม่เหมือนกัน
หากคุณกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว เพื่อนสนิท และคนพิเศษ ที่คุณจะเพลิดเพลินกับหาดทรายสีขาว ผ่อนคลายใต้แสงแดดอุ่น ดำน้ำดูประการัง อร่อยกับอาหารพื้นเมือง และสัมผัสกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม การเที่ยวอินโดนีเซียจะช่วยให้คุณอยากกลับไปเยือนดินแดนอิเหนาแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าคุณอยากสนุกกับทุกกิจกรรมได้อย่างไร้กังวลต้องซื้อประกันเดินทางต่างประเทศของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ไปด้วยเพื่อความอุ่นใจ สอบถามข้อมูลการคุ้มครองประกันภัยได้ที่โทร. 0 2611 4242