5 เมืองท่องเที่ยวอินเดียในฝัน สวรรค์แห่งแดนภารตะ

wide-view-of-taj-mahal

    ต้นกำเนิดอารยธรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ตำนาน ปรัชญา และภาษาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อินเดีย (India) เป็นดินแดนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดในโลก รุ่มรวยด้วยเสน่ห์ทางสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ และประเพณีเก่าแก่ที่สืบสานมานับพันปี นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้ชาวพุทธปรารถนาจะไปทัวร์อินเดียเพื่อสักการะ 4 สังเวชนียสถาน ชับบ์ คัดสรร 5 สถานที่ท่องเที่ยวอินเดีย ที่กำลังมาแรงและสะท้อนถึงอารยธรรมอินเดียอันเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์ และมีแค่อินเดียเท่านั้นที่จะมอบประสบการณ์การเดินทางสุดพิเศษแบบนี้ให้กับคุณ แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่คุณสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีหลายคนอดกังวลเรื่องความปลอดภัย ความเจ็บป่วย หรือทรัพย์สินสูญหายไม่ได้ แนะนำให้ซื้อประกันภัยการเดินทางชับบ์ (Chubb Travel Insurance) เพื่อความอุ่นใจและให้คุณติดต่อฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง เอาล่ะ! เก็บกระเป๋าของคุณให้พร้อมแล้วออกเดินทางไปสำรวจ 5 เมืองท่องเที่ยวที่สวยงามราวภาพฝันของอินเดียกันเลย

เที่ยวอินเดียต้องขอวีซ่าหรือไม่?

yellow-temple-near-body-of-water-with-reflection

    ก่อนจะไปเจาะลึก 5 เมืองท่องเที่ยวอินเดีย คุณต้องเตรียมเอกสารเพื่อใช้ในการขอวีซ่าให้พร้อม ซึ่งคุณสามารถยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวอินเดียได้ 2 วิธี ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว หรือเดินทางไปยื่นขอวีซ่าได้ด้วยตัวเองที่สถานบริการกุงศลประเทศอินเดีย ได้แก่

  • วีซ่าท่องเที่ยวออนไลน์ eTourist Visa (E-Visa): สามารถยื่นเรื่องผ่านทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ India Visa Online โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยื่นเอกสารด้วยตนเอง หลังยื่นเรื่องแล้วจะแจ้งผลผ่านทางอีเมล ในวันเดินทางให้นำเอกสารดังกล่าวและพาสปอร์ตไปยื่นที่ช่อง eTourist Visa 
  • วีซ่าท่องเที่ยวแบบปกติ (Regular Tourist Visa): คุณสามารถติดต่อด้วยตนเองที่ศูนย์รับยื่นคำร้องขอวีซ่า หรือบริการกงศุลประเทศ ใช้เวลาพิจารณา 3-8 วันทำการ  

*Note: ก่อนยื่นขอวีซ่าควรเตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน และพาสปอร์ตต้องมีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน (ก่อนวันเดินทาง) ค่าบริการวีซ่า (E-Visa) 30 วัน = 27.5 USD, 1 ปี = 40 USD และ 5 ปี = 84 USD

เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่าอินเดีย มีอะไรบ้าง?

woman-in-saree-holding-flower

ขั้นตอนการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการขอวีซ่าเดินทางไปอินเดีย มีดังนี้

  1. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า: แบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลส่วนตัว รายละเอียดการเดินทาง และลงนาม
  2. พาสปอร์ต: หนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้าขึ้นไป
  3. รูปถ่าย: รูปถ่ายหน้าตรง พื้นหลังขาว ขนาด 2x2 นิ้ว ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
  4. โปรแกรมการท่องเที่ยว: แสดงแผนการท่องเที่ยวตามจำนวนวันเดินทาง
  5. หลักฐานการพำนักอาศัย: เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เป็นต้น
  6. จดหมายรับรองการทำงาน (ถ้ามี): สำหรับผู้ที่ทำงานให้แสดงหนังสือรับรองการทำงาน, นักเรียน/นักศึกษาให้แสดงบัตรนักศึกษา
  7. หลักฐานทางการเงิน: รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3 เดือน เพื่อแสดงความสามารถในการออกค่าใช้จ่าย
  8. ใบจองตั๋วเครื่องบิน: หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
  9. ใบจองโรงแรม: หลักฐานการจองโรงแรมหรือที่พัก ตามวันที่ที่ระบุไว้ในโปรแกรมและตั๋วเครื่องบิน
  10. ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่า: หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า

ทั้งนี้ ในบางกรณีอาจจะมีการขอเอกสารเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่าที่ต้องการ ดังนั้นควรตรวจสอบรายละเอียดเอกสารที่ต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อนยื่นคำร้องจะดีกว่า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมคลิกได้ ที่นี่

เที่ยวอินเดียเดือนไหนดี?

view-of-hamayuns-tomb-delhi-india

    จริงๆ แล้วอินเดียเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดปี ขึ้นอยู่กับสถานที่ท่องเที่ยวอินเดียที่คุณอยากไปเยือน รวมถึงกิจกรรม ต่างๆ ที่คุณต้องการทำ แต่ทางการอินเดียได้แนะนำช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงมีนาคมของทุกปี  

    แต่ถ้าคุณวางแผนจะไปเที่ยวตอนเหนือของอินเดียในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ก็ควรจะต้องเตรียมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพราะอากาศอาจหนาวจัดแตะระดับ 0 องศาฯ ขณะที่สภาพอากาศในหลายเมืองจะอยู่ที่ 10-30 องศาฯ ตรงกันข้ามกับสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนน (มีนาคม-มิถุนายน) ที่อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 25-40 องศาฯ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของอินเดียที่อากาศอาจจะร้อนจัดถึง 45 องศาฯ

1. Taj Mahal

front-view-of-taj-mahal

    อนุสรณ์สถานแห่งรักที่ยิ่งใหญ่และโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตำนานความรักระหว่าง พระเจ้าซาห์ จาฮาน (Shah Jahan) จักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์โมกุล กับ พระมเหสีมุมตัช มาฮาล (Mumtaz Mahal) พระชายาองค์ที่ 3 พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ระหว่างให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ในปี ค.ศ.1631 สร้างความเสียใจให้แก่พระเจ้าซาห์เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าเส้นผมของพระองค์เปลี่ยนเป็นสีเทาในชั่วข้ามคืน และทรงสร้างทัชมาฮาลขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งรักนิรันดร์ และสถานที่ฝังพระศพของพระนาง   

    ทัชมาฮาลใช้เวลาก่อสร้างราว 22 ปี แม้ว่าอาคารหลักจะสร้างเสร็จภายในเวลา 8 ปี แต่อาคารโดยรอบทั้งหมดสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1653 ไม่นานหลังจากนั้น พระเจ้าชาห์ก็ถูกออรังเซบ (Aurangzeb) ลูกชายของพระองค์ยึดอำนาจ และคุมขังพระองค์ไว้ในป้อมอัครา (Agra Fort) ที่ที่พระเจ้าซาห์ได้แต่เฝ้ามองทัชมาฮาลผ่านช่องหน้าต่างและระเบียงของพระราชวังเท่านั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็สวรรคตในปี ค.ศ. 1666 โดยพระศพได้ถูกฝังไว้เคียงข้างกับพระมเหสีอันเป็นที่รักตราบชั่วนิรันดร์

    ความยิ่งใหญ่อลังการและความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรม และเครื่องประดับเพชรพลอยจำนวนมากภายในทัชมาฮาล ทำให้อนุสรณ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1983 หากคุณอยากสัมผัสตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซาห์และพระมเหสีมุมตัช มาฮาล ชับบ์แนะนำให้ไปเที่ยวช่วงฤดูหนาว (ระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) ท่ามกลางอากาศเย็นสบายประมาณ 20-25 องศาฯ และผู้คนไม่หนาแน่นจนเกินไป

  • พิกัด: https://maps.app.goo.gl/W9mSpcPjHTkVLDKf7
  • เวลาเปิด: เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันศุกร์) ตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น.
  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,100 รูเปีย / เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าฟรี
  • คำแนะนำ: ควรแต่งกายสุภาพ ภายในสุสานห้ามถ่ายภาพ และต้องฝากของไว้ด้านนอก เช่น ขาตั้งกล้อง ไม้เซลฟี ไมโครโฟน กระเป๋าสะพายใบใหญ่ แนะนำให้ใช้ถุงใสๆ ใบเล็กแทน

2. Agra Fort

view-of-agra-fort-with-people-in-front

    เมื่อมีทัชมาฮาลก็ต้องมี “ป้อมอัครา” ป้อมปราการแห่งยุคโมกุลที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย และเป็นสถานที่คุมขังพระเจ้าซาห์ จาฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาล สถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจะได้ชื่นชมป้อมปราการหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ (Red Fort of Agra) และมัสยิดหินอ่อนทั้งหลังที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย ตั้งอยู่ห่างจากทัชมาฮาลเพียง 2.5 กิโลเมตร ริมแม่น้ำยมนา ในเมืองอัครา รัฐอุตตรประเทศ  

    ป้อมอัคราสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1565 โดยจักรพรรดิอัคบาร์แห่งราชวงศ์โมกุล (Emperor Akbar) เคยเป็นที่ประทับหลักของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลมาหลายยุคสมัย โดยเฉพาะยุคสมัยของพระเจ้าชาห์ จาฮาน ทรงปรับปรุงป้อมแห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่สำคัญมากมาย ว่ากันว่า นอกจากพระองค์จะเคร่งในศาสนาอิสลาม แล้วยังเปี่ยมด้วยรสนิยมหรูหราและมีสายตาที่เฉียบแหลม ทั้งในเรื่องของสถาปัตยกรรมและเครื่องประดับล้ำค่า นั่นทำให้เบื้องหลังกำแพงสูง 20 เมตร ที่ทอดตัวยาว 2.5 กิโลเมตร พรั่งพร้อมด้วย พระราชวัง เรือนหอ และมัสยิดที่สวยงามหลายแห่ง  

    สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมภายในป้อมปราการหินทรายสีแดง ได้แก่  มัสยิดไข่มุก (Moti Masjid), พระราชวังกัสมาฮาล (Khas Mahal), พระราชวังกระจก (Sheesh Mahal) และ หอคอยหินอ่อนแปดเหลี่ยม (Musamman Burj) ที่กลายเป็นคุกที่ใช้กักขังพระเจ้าซาห์ไว้ตราบลมหายใจสุดท้ายเป็นเวลานานถึง 8 ปี ซึ่งทุกวันนี้คุณจะสัมผัสความทรงจำสุดท้ายของพระองค์ได้ตรงระเบียงและช่องหน้าต่าง ที่พระองค์สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้อีกครั้ง และป้อมอัคราก็ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดย UNESCO ในปี ค.ศ.1983

  • พิกัด: https://maps.app.goo.gl/KRaXGuv5Ho3qnaz2A
  • เวลาเปิด: เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.00-18.00 น.
  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 90 รูปี / วันศุกร์ 40 รูปี
  • คำแนะนำ: ห้ามนำขาตั้งกล้อง ไม้เซลฟี และไมโครโฟน เข้าไปด้านใน

3. Jaipur

view-of-road-with-horses-and-tuktuk

    นครสีชมพูที่แสนจะโรแมนติกและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย ชัยปุระ (Jaipur) เมืองหลวงของรัฐราชสถานแห่งนี้ โดดเด่นด้วยสีชมพูที่ทาบทาลงบนกำแพงเมืองจนได้รับฉายาว่า “Pink City of Jaipur” ท้้งยังอบอวลด้วยสถาปัตยกรรมอันมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และอาหารอร่อยไม่แพ้เมืองใดในอินเดีย นครสีชมพูแห่งนี้สร้างขึ้นโดย มหาราชาสวาอี ชัย ซิงห์ ที่่ 2 (Sawai Jai Singh II) ผู้เป็นทั้งนักรบและนักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ขึ้นสู่อำนาจเมื่ออายุได้เพียง 11 ปี หลังจากองค์มหาราชาพิชานซิงห์ (Maharaja Bishan Singh) พระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์

    กล่าวกันว่า ชัยปุระเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามราวเมืองในเทพนิยาย จึงมีสถานที่เช็คอินสวยๆ ให้ถ่ายรูป เช่น  พระราชวังหลวง (City Palace) พระราชวังสีชมพูหวานใจกลางเมือง ภายในยังมีหมู่พระราชวังน้อยใหญ่ สวน และพิพิธภัณฑ์ให้เยี่ยมชม พระราชวังสายลม (Hawal Mahal) สถาปัตยกรรมที่สร้างจากหินทรายสีชมพู หน้าต่างตกแต่งด้วยลายฉลุ 953 ช่อง เพื่อให้สายลมพัดผ่านเย็นสบายตลอดปีจนได้รับฉายาว่า “ฮาวา” (สายลม) นั่นเอง และ หอดูดาวจันตาร์ มันตาร์ (Jantar Mantar) หอดูดาวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่มีความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นโดยมหาราชาสวาอี ชัยซิงห์ที่ 2 ในปี ค.ศ. 1730 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2010 ความสวยงามของหอดูดาวแห่งนี้ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายแฟชั่นและถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องมาแล้ว

4. Kashmir

body-of-water-between-mountains-duing-daytime

    เจ้าของฉายา “สวิสเซอร์แลนด์แดนภารตะ” ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศอินเดียอย่างแคว้นแคชเมียร์ (Kashmir) ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย รายล้อมด้วยธรรมชาติ ภูเขา และทะเลสาบที่สวยงามราวภาพฝัน แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกหลายแห่ง จนคุณอาจจะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า นี่เราอยู่ในประเทศอินเดียจริงๆ หรือ?  

    เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกก็ต้อง กุลมาร์ค (Gulmarg) เมืองที่มีความสวยงามและเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากมีหิมะขาวปกคลุมตลอดทั้งปี ส่วนฤดูใบไม้ผลิก็สะพรั่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ อีกทั้งเทือกเขา Apharwat ยังจัดเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยธรรมชาติที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก

couple-doing-yoga-near-lake

    ส่วนใครที่อยากดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรมต้องไม่พลาด ศรีนาการ์ (Srinagar) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นแคชเมียร์ ขึ้นชื่อเรื่องสวนลอยน้ำและบ้านเรือ (House Boats) ที่มีเสน่ห์ในทะเลสาบดาล (Dal Lake) รวมถึงสวนโมกุลที่สวยงามถึง 2 แห่งคือ Shalimar Bagh และ Nishat Bagh โดยเฉพาะ พาฮาลแกม (Pahalgam) เมืองที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาสลับซับซ้อน รายล้อมด้วยแม่น้ำ ผืนป่า ภูเขา และสัตว์พื้นเมือง ทั้งยังถูกใช้เป็นฉากหลังเป็นเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะขาว ทำให้พาฮาลแกมถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องเลยล่ะ

  • การเดินทาง: เดินทางโดยเครื่องบินจากเมืองใหญ่ๆ เช่น เดลี มุมไบ และเจนไน / รถยนต์ใช้เวลาเดินทางจากเดลีมาแคชเมียร์ประมาณ 14-15 ชั่วโมง และรถไฟจากเดลีไปยัง Jammu Tawi เมืองที่อยู่ใกล้กับแคชเมียร์ ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นให้ต่อรถบัสหรือรถแท็กซี่
  • เที่ยวแคชเมียร์เดือนไหนดี: เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ช่วงเวลาที่ดอกไม้ผลิบานทั่วเมืองและอากาศกำลังดี หากคุณต้องการสัมผัสความหนาวเย็น เล่นสกี และชมภูเขาหิมะ เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ตอบโจทย์คุณมากที่สุด

5. Ellora Caves & Ajanta Caves

the-largest-rock-cut-hindu-temple-ellora-caves

    อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ที่กำลังมาแรงในอินเดีย ด้วยความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ของสถาปัตยกรรมและหมู่ถ้ำอันน่าทึ่ง นำมาซึ่งข้อถกเถียงว่าสถานที่แห่งนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์สร้างหรือผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่? หากคุณอยากสัมผัสสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างต้องไม่พลาด “เอโลรา” และถ้าคุณอยากชื่นชมผลงานประติมากรรมแกะสลักหิน และภาพจิตรกรรมบนผนังถ้ำที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลกต้องเช็คอินที่ “อชันตา” ทั้งสองแห่งอยู่ในเมืองออรังคาบาต (Aurangabad) รัฐมหาราษฎระ ตั้งอยู่ห่างกัน 106 กิโลเมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1983

view-inside-ajanta-cave

    เอโลรา (Ellora) เป็นกลุ่มถ้ำที่มีความสำคัญอย่างมากทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในอินเดีย ถ้ำเอโลรามีประวัติความเป็นมาอันซับซ้อนและลึกลับอย่างมาก นักโบราณคดีเชื่อว่าการก่อสร้างถ้ำเริ่มในช่วงศตวรรษที่ 5-11 ปัจจุบันมีการค้นพบถ้ำกว่า 34 แห่ง โดยจัดเป็นหมู่ศาสนสถานและวิหารเจาะหินที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายในหมู่ถ้ำผสมผสานความเชื่อทางศาสนาฮินดู เซน และพุทธ โดยเฉพาะ “ถ้ำหมายเลข 16” เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างจากการเจาะหินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะ ส่วนถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดเป็นถ้ำของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่สร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 550-750  

    ส่วนถ้ำอชันตา (Ajanta Caves) ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำในพุทธศาสนาที่โดดเด่นอย่างมากด้านงานแกะสลักหินที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก สันนิษฐานว่า ถ้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 193 เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ภายในมีวัด โบสถ์ วิหาร กุฎิ เจดีย์ พระพุทธรูป และจิตรกรรมฝาผนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพุทธประวัติและพุทธชาดกที่สวยงาม

  • พิกัด: ถ้ำเอโลรา https://maps.app.goo.gl/JPb6GzE7br3b2U7K8  และ ถ้ำอชันตา https://maps.app.goo.gl/yhD3SisknX1eNW5D8 ใช้เวลาเดินทางระหว่างกันราว 2-3 ชั่วโมง
  • เวลาทำการ: ถ้ำเอโลรา เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคาร) ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. และถ้ำอชันตา เปิดทุกวัน (ปิดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

    อินเดียยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ที่คุณสามารถเดินทางไปสำรวจดินแดนต่างๆ ได้หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวอินเดียสักกี่ครั้งก็ต้องมีเพื่อนร่วมทางที่พร้อมจะดูแลคุณและคนที่คุณห่วงใยได้อย่างดีที่สุดทริปไหนๆ ก็อุ่นใจเมื่อมีประกันการเดินทางชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ที่พร้อมดูแลคุณในทุกเส้นทางครอบคลุมทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สนใจประกันภัยการเดินทางสอบถามได้ที่ โทร. 0 2611 4242