5 ที่เที่ยวเยอรมนีสุดโรแมนติก สวยเหมือนเมืองในเทพนิยาย

aerial-view-of-germany-city

    เยอรมนีเป็นดินแดนแห่งปราสาทในเทพนิยาย รายล้อมไปด้วยเมืองแห่งประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 2,000 ปี ธรรมชาติที่สวยงาม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ เทศกาลคาร์นิวัลที่เต็มไปด้วยสีสัน และเบียร์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของโลก เยอรมนียังเป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนสุดโรแมนติก ไม่ว่าคุณจะเดินเล่นจับมือกันตรงจัตุรัสยุคกลาง หรือดื่มด่ำกับความงามของหุบเขาไรน์บนเส้นทางสายโรแมนติก (The Romantic Road) เยอรมนีก็พร้อมมอบประสบการณ์ประทับใจให้คุณและคนพิเศษเสมอ

5 สถานที่สุดโรแมนติกในเยอรมนี

    ชับบ์ คัดสรร 5 สถานที่สุดโรแมนติกในเยอรมนี ที่มีผู้คนค้นหามากที่สุดในโลกออนไลน์และเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อให้การเดินทางไปเที่ยวเยอรมนีของคุณ เป็นความทรงจำประทับใจสำหรับคุณ ที่สำคัญอย่าลืมซื้อประกันการเดินทาง Chubb Travel Insurance ไปด้วยเพื่อความอุ่นใจ จะทริปไหนก็เหมือนมีผู้ช่วยมือหนึ่งคอยดูแลคุณและเพื่อนร่วมทริปอย่างดีที่สุด เอาล่ะ…ถ้าซื้อประกันพร้อมแล้วก็มาตีตั๋วทัวร์สถานที่สุดโรแมนติกกันดีกว่า!

1. ปราสาทเทพนิยายนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)

neuschwanstein-castle-on-snowy-mountain

    ปราสาทในตำนานที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทิวสนบนเทือกเขาแอลป์ สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าลุดวิก 2 แห่งบาวาเรีย (Ludwig Friedrich Wilhelm II) ในช่วง ค.ศ. 1845-1886 ปราสาทแห่งนี้โด่งดังด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม ด้วยพระเจ้าลูทวิชที่ 2 มีแนวคิดก้าวหน้าและทันสมัยในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการก่อสร้างตกแต่ง ทั้งยังผสมผสานศิลปะไบแซนไทน์ กอธิค และโรมันเนสก์เข้าด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยความสวยงามราวภาพฝันของปราสาทแห่งนี้ ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างปราสาทเทพนิยายของเจ้าหญิงนิทราที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ รวมถึงแดนเนรมิตของไทย

    นอยชวานชไตน์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ปราสาทที่สวยงามที่สุดในยุโรป” แม้พระเจ้าลูทวิชที่ 2 จะทรงประทับภายในปราสาทแห่งนี้เพียง 11 คืนเท่านั้น ทำให้ปราสาทแห่งนี้ไม่มีบัลลังก์ แม้จะมีห้องบัลลังก์ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในปราสาทก็ตาม เพราะบัลลังก์ยังสร้างไม่เสร็จก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์นั่นเอง

neuschwanstein-castle-in-germany

    นอกจากนี้ พระองค์ทรงโปรดปรานดนตรีและโอเปราอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้อุปถัมภ์ของคีตกวีชื่อดังแห่งยุคอย่าง ริชชาร์ท วากเนอร์ (Richard Wagner) บทเพลงของวากเนอร์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้การออกแบบตกแต่งห้องต่าง ๆ รวมถึง “Singer Hall” ห้องที่ตกแต่งด้วยกระจกสีและทองคำ ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงและการแสดงดนตรี

    ปัจจุบัน ปราสาทนอยชวานชไตน์มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมประมาณ 6,000 คนต่อวัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในปราสาทได้ด้วยการจองซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้า พร้อมมีบริการทัวร์นำชมภาษาอังกฤษให้บริการทุก ๆ 30 นาที

2. เมืองเก่าแก่ริมแม่น้ำไรน์ โคโลญจ์ (Cologne)

downtown-cologne-city-skyline-city-cathedral

    ย้อนกลับไปเมื่อราว 38 ปีก่อนคริสตกาล ดินแดนเก่าแก่ที่เรียกว่า ออพพิดุม ริเวนซิอุม (Oppidum Ubiorum) ในภาษาละตินโบราณ ซึ่งแปลว่า "เมืองของชาวอุบิอิ" (Ubii) ชนเผ่าดั้งเดิม ก่อนที่ชาวโรมันจะยึดครองและก่อตั้งเป็นศูนย์กลางการค้าการปกครองที่สำคัญริมแม่น้ำไรน์  นั่นทำให้เมืองโคโลญจ์ (Köln ในภาษาเยอรมัน) เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ทั้งยังเต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง

    ในยุคกลางโคโลญจ์เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด และได้รับสถานะเป็นเมืองอิสระในปี 1285 นำไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางศาสนา วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่สำคัญของเยอรมนี โดยมีมหาวิหารโคโลญจ์ หรือ อาสนวิหารโคโลญจ์ (Cologne Cathedral) ที่เริ่มก่อสร้างในปี 1248 และใช้เวลานานกว่า 632 ปี ตั้งแต่การวางแผนจนถึงการก่อสร้าง เป็นมหาวิหารกอทิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยที่สุดในเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี 1996

low-view-of-cologne-cathedral-in-france

    ทว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองโคโลญจ์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากระเบิดและได้รับการฟื้นฟูในภายหลัง เช่นเดียวกับมหาวิหารที่ถูกทำลายจากแรงระเบิดจนเสียหายอย่างหนัก แต่ก็สามารถบูรณะจนกลับมาสวยงามอีกครั้ง ปัจจุบัน โคโลญจ์เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทันสมัยและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเยอรมนี มีประชากรกว่า 1 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่สำคัญ โด่งดังจากน้ำหอมแห่งเมืองโคโลญจ์ และ Karneval หนึ่งในเทศกาลคาร์นิวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เต็มไปด้วยสีสัน เสียงเพลง การรื่นเริง และความสนุกสนาน ทั้งยังเฉลิมฉลองมานานกว่า 2,000 ปี นอกจากนี้ ยังมี Heumarkt Gate ประตูเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโคโลญจ์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นหนึ่งในประตูเมืองโบราณเพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จากทั้งหมด 12 ประตูให้เที่ยวชมอีกด้วย

3. ไฮเดลเบิร์ก ที่สุดแห่งความโรแมนติก(Heidelberg)

view-of-heidelberg-with-sunny-sky

    แม้จะเป็นสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนีอย่าง มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก (Ruprecht Karl University of Heidelberg) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1386 แต่เมืองเก่าแก่อายุนับพันปีแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดในเยอรมนี และมีปราสาทเก่าแก่ในศตวรรษที่ 15 สะพานแห่งประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของนักศึกษาจากทั่วโลก

    หากเปรียบไฮเดลเบิร์กเป็นเหมือนหญิงสาวที่งามสง่าและมีการศึกษาสูง เธอก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับพันปี เมืองนี้เคยเผชิญความยากลำบากในช่วงสงครามสามสิบปี (1618-1648) และสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส (1789-1799) เคยกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรบาวาเรียในปี 1803 และเป็นเมืองเก่าแก่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีจนขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี 1997 

skyline-heidelberg-with-castle-germany

    ใครมาเยือนไฮเดลเบิร์กแล้วต้องไม่พลาด Schloss Heidelberg (ปราสาทไฮเดลเบิร์ก) แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองไฮเดลเบิร์ก แม้จะเป็นซากปรักหักพัง แต่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างยุคเรอเนซองส์ที่สำคัญที่สุดทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์

    Alte Brücke หรือสะพานประวัติศาสตร์ เป็นสะพานโค้งข้ามแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar River) เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง แล้วยังมี Marktplatz จัตุรัสที่มีโบสถ์ Heiliggeistkirche หรือโบสถ์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เช่นกัน เดิมเป็นสถาปัตยกรรมแบบกอทิก แต่เมื่อได้รับความเสียหายจากสงครามโลก โบสถ์ก็ได้รับการบูรณะใหม่ในรูปแบบบาโรก (Baroque) แค่เดินจับมือคนรักชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ ของเมืองที่แสนจะโรแมนติกก็มีความสุขจนยากจะลืมเลือน

4. เมืองแห่งดนตรีและศิลปะ ไลพ์ซิก (Leipzig)

aerial-view-of-leipzig-city

    คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ไลฟ์ซิกเป็น Hidden Gem ของเยอรมนีอย่างแท้จริง เมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องสปาแห่งนี้ พร้อมมอบความผ่อนคลายถึงขีดสุดและประสบการณ์สุดโรแมนติกด้วยบ่อน้ำพุร้อน สถาปัตยกรรมอันหรูหรา และสวนสวยใจกลางเมือง ไลพ์ซิกก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 10 โดยชาวสลาฟ ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำพลีสเซอ (Pleisse River) ก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นเมืองโดยจักรพรรดิเฟรดเดอริก บาร์บารอสซ่า (Frederick Barbarossa) กลายเป็นเมืองสำคัญทางการค้า และศาสนา ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้า Via Regia ที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออก

    นอกจากจะเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1813 ได้เกิด ยุทธการไลพ์ซิก (Battle of Leipzig) หนึ่งในยุทธการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุโรป ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาชนะจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) โดยยุทธการไลพ์ซิก ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ยุโรป ที่ทำให้จักรพรรดินโปเลียนสูญเสียอำนาจและถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะและก่อให้เกิดยุคใหม่ของยุโรป

    ใครมาถึงไลพ์ซิกแล้วต้องไปเช็คอินที่ จัตุรัสกลางเมือง (Markt) ที่เปรียบเสมือนหัวใจของเมืองไลพ์ซิก เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม เช่น Neues Rathaus (ศาลาว่าการใหม่) และ Gewandhaus (หอแสดงดนตรี) เซนต์นิโคไล (Nikolaikirche) โบสถ์สไตล์กอทิกที่มีโดมสูง 91 เมตร สามารถมองเห็นวิวเมืองแบบ 360 องศา พิพิธภัณฑ์บาค (Bach Museum) ที่รวบรวมเรื่องราวชีวิตและผลงานของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค (Johann Sebastian Bach) นักแต่งเพลงชื่อดังชาวเยอรมันไว้อย่างสมบูรณ์ และ Leipzig Botanical Garden สวนพฤกษศาสตร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาพันธุ์ ทั้งดนตรี ศิลปะ และสถาปัตยกรรมนี่เองที่ทำให้ไลพ์ซิกเป็นอีกหนึ่งเมืองโรแมนติกของประเทศเยอรมนี

5. เดรสเดน ฟลอเรนซ์แห่งภาคเหนือ (Dresden)

dresden-frauenkirche-church

    เจ้าของฉายาเกาะสวรรค์แห่งทะเลบอลติกที่มีชายหาดที่สวยงาม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ และอุทยานแห่งชาติ Jasmund (Jasmund National Park) ทำให้เดรสเดนเป็นเมืองหลวงของรัฐซัคเซิน (Sachsen) ประเทศเยอรมนี ที่เนื้อหอมมากที่สุดเช่นกัน เดรสเดนมีประวัติศาสตร์ยาวนานและวัฒนธรรมอันหลากหลาย ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมทำให้เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า "ฟลอเรนซ์เหนือเทือกเขาแอลป์" และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย

    แม้จะได้ชื่อว่าเมืองแห่งประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 800 ปี แต่ก็อายุน้อยกว่าหลาย ๆ เมืองในเยอรมนี เดรสเดนก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 12 ริมแม่น้ำเอลเบอ (Elbe River) โดยท่านเคานต์ Konrad the Bearded ผู้ทำให้เดรสเดนกลายเป็นเมืองสำคัญทางการค้า วัฒนธรรม และศาสนา ด้วยตั้งอยู่บนเส้นทางการค้า Via Regia ที่เชื่อมต่อระหว่างตะวันตกและตะวันออก

skyline-elbe-river-saxony

    ครั้งหนึ่งเดรสเดนเคยผ่านเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งประวัติศาสตร์ และได้รับการบูรณะจนกลับมาสวยงามอีกครั้ง ใครมาเที่ยวเดรสเดนต้องแวะไปเยี่ยมเยือน Frauenkirche โบสถ์สไตล์บาโรกที่มีโดมสีทองอร่ามเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเดรสเดน พระราชวังซวิงเกอร์ (Zwinger Palace) พระราชวังสไตล์บาโรก ภายในเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง โรงละครโอเปร่าเซมเปอร์ (Semperoper) โรงละครโอเปร่าสไตล์นีโอคลาสสิกที่โด่งดังไปทั่วโลก สวนใหญ่กรอสเซอการ์เทน (Großer Garten) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และล่องเรือชมแม่น้ำเอลเบอ ชมวิวเมืองเดรสเดนแบบ 360 องศา

เที่ยวเยอรมนี เดือนไหนดี?

    ใครที่อยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวเยอรมนี ฤดูที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณคือ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี) และฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-ตุลาคมของทุกปี) เพราะเป็นช่วงที่อากาศกำลังดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป แล้วผู้คนก็พลุกพล่านน้อยกว่าเมื่อเทียบกับฤดูร้อนที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเยอรมนีมากที่สุด แต่หากคุณต้องการสีสันและความมีชีวิตชีวาในช่วงเทศกาลรื่นเริง ต้องไม่พลาด Christmas Market (เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี) แล้วคุณจะตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสุดแสนมหัศจรรย์

    ทริปไหน ๆ ก็อุ่นใจเมื่อมีประกันการเดินของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ที่พร้อมดูแลคุณในทุกเส้นทางครอบคลุมทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สนใจประกันภัยการเดินทางสอบถามได้ที่โทร. 0 2611 4242