
สาธารณรัฐออสเตรีย ( Republic of Austria) หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่าออสเตรีย เป็นประเทศที่สวยงามในยุโรปตอนกลาง มีฉายาว่า ‘เมืองแห่งขุนเขา’ เนื่องจากภูมิประเทศไม่มีอาณาเขตติดทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทิวเขาและเนินเขาประกอบกับทะเลสาบ จึงทำให้วิวทิวทัศน์ของออสเตรียนั้นสวยงามตามธรรมชาติ ร่ำรวยด้วยวัฒนธรรม ดินแดนแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ตั้งแต่ยุคสมัยของนอริกุม (Noricum) อาณาจักรโบราณตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์) ก่อนที่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (Habsburg) จะเข้ามาปกครองออสเตรียนานถึง 6 ศตวรรษ ด้วยความสวยงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมหลายแห่ง ทำให้ออสเตรียได้รับความนิยมอย่างมาก ชับบ์ รวม 5 อันดับที่เที่ยวออสเตรียยอดฮิต ในดินแดนที่เก็บซ่อนเรื่องเล่าและตำนานทำให้เมืองมีเสน่ห์และน่าค้นหามากขึ้น
ก่อนจะออกเดินทางไปสัมผัสกับเรื่องราวและความสวยงามของออสเตรีย อย่าลืมซื้อประกันการเดินทางของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ตัวจริงเรื่องประกันภัยการเดินทาง และพร้อมเป็นเพื่อนเดินทางที่พร้อมดูแลคุณอย่างดีที่สุดเสมอ
ภายใต้ความยิ่งใหญ่ตระการตาของพระราชวังฮอฟบวร์ก อดีตวังหลวงแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย ย่านถนนวงแหวน (Ringshtrasse) เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วังหลวงแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ผ่านการต่อเติมหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเป็นที่ประทับในฤดูหนาวของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค โดยมีพระราชวังเชินบรุนน์เป็นที่ประทับในฤดูร้อน (Schönbrunn Palace) กระทั่งในปี 1946 เป็นต้นมา อดีตวังหลวงแห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นที่พำนักและที่ทำงานของประธานาธิบดีแห่งออสเตรีย
ก่อนจะมาเป็นวังหลวงอันกว้างใหญ่ ที่นี่เคยเป็นป้อมปราการเล็ก ๆ บนเนินเขา เมื่อราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้สร้างพระราชวังขึ้น ทำให้พระราชวังแห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ปกครองมานานกว่า 6 ศตวรรษ นอกจากจะใช้เป็นที่ประทับแล้วยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม และศิลปะที่สำคัญของออสเตรีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยม ความมั่งคั่ง และอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในแต่ละยุคสมัย จนทำให้พระราชวังรวบรวมรูปแบบสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่กอธิค (Gothic) บาโรก (Baroque) โรโกโก (Rococo) จนถึงนีโอคลาสสิก (Neo classic) ความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ ไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินมากมาย
นอกจากความสวยงามและยิ่งใหญ่แล้ว พระราชวังฮอฟบวร์กยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่าและตำนานต่าง ๆ มากมาย ว่ากันว่า วิญญาณของจักรพรรดิโยเซฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Joseph Benedict Antony Michel Adam) ยังคงสิงสถิตอยู่ในพระราชวังและปรากฏให้เห็นในยามค่ำคืน อีกทั้งพระราชวังฮอฟบวร์กยังมีห้องลับมากมาย ที่เก็บซ่อนสมบัติล้ำค่าและความลับดำมืดของราชวงศ์ เชื่อกันว่ามีอุโมงค์ใต้ดินเชื่อมต่อพระราชวังฮาพส์บวร์คกับสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเวียนนา เพื่อใช้สำหรับหลบหนียามเกิดเหตุร้ายอีกด้วย อย่างไรก็ดี ในปี 1996 พระราชวังก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดย UNESCO ปัจจุบันพระราชวังฮอฟบวร์กทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ผ่านสมบัติและข้าวของเครื่องใช้ โบราณวัตถุล้ำค่าและหายาก เช่น เขาของม้ายูนิคอร์น และเรื่องราวของราชวงค์
หมู่บ้านเล็ก ๆ แสนงดงามริมทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt Lake) ตั้งอยู่ในเมืองซัลทซ์คัมเมอร์กูท (Salzkammergut) ในรัฐซัลทซ์บวร์ค (Salzburg) ประเทศออสเตรีย ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ทางธรรมชาติ สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และประวัติศาสตร์อันยาวนาน ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของ UNESCO ในปี 1997 ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนปีละหลายล้านคน
เชื่อกันว่า ในยุคโบราณมีคนแคระอาศัยอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ คนแคระเหล่านี้มีความสามารถพิเศษในการขุดเจาะเหมืองเกลือและหลอมแร่ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งทำเหมืองเกลือที่สำคัญมาตั้งแต่ยุคสำริด นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมเหมืองเกลือโบราณฮัลสตัทท์ (Salzwelten Hallstatt) ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 7,000 ปี ส่วนในยุคกลางฮัลล์ชตัทได้รับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้ากระทั่งในศตวรรษที่ 15 ฮัลล์ชตัทได้ค้นพบเหมืองเกลือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในศตวรรษที่ 19
นอกจากนี้ ฮัลล์สตัทท์ยังมีตำนานนางฟ้าผู้พิทักษ์ที่อยู่บนยอดเขา Dachstein นางฟ้าจะมอบโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่หมู่บ้าน แต่แล้วในปี 1750 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ทำให้อาคารบ้านเรือนหลายหลังถูกเผาทำลาย และได้รับการฟื้นฟูให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง รวมถึงปี 2015 ที่เกิดเหตุดินถล่ทำให้บ้านเรือนหลายหลังเสียหาย
ปัจจุบัน ฮัลล์สตัทท์โด่งดังไปทั่วโลกจากภาพทิวทัศน์อันงดงามของหมู่บ้านสีสันสดใสริมทะเลสาบสีมรกต ปรากฎภาพของโบสถ์ประจำเมือง (Hallstatt Lutheran Church) โอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ กลายเป็นภาพที่ปรากฏบนโปสการ์ด ปฏิทิน และสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาสัมผัสกับบรรยากาศอันดั้งเดิม เงียบสงบ และโรแมนติก ที่สำคัญฮัลล์สตัทท์มีวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูต่าง ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกจะกลับมาอีกครั้ง เพราะจะมาฤดูไหนก็ไม่มีเบื่อ ส่วนกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่นอกเหนือจากการเดินชมความสวยงามของเมือง การดูอาคารบ้านเรือนลดหลั่นไปตามเนินพร้อมวิวเทือกเขาอยู่เบื้องหลังพร้อมวิวทะเลสาบ ยังสามารถนั่งเรือชมวิวได้อีกด้วย
เมืองหลวงของรัฐ Tyrol ประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขาแอลป์ อินส์บรุกเป็นเมืองมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี เต็มไปด้วยเสน่ห์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในฐานะเมืองค้าขายบนเส้นทางข้ามเทือกเขาแอลป์ เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ Maximilian I ในศตวรรษที่ 16
อินส์บรุคเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ศิลปะ และกีฬา เมืองนี้เคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสองครั้งในปี 1964 และ 1976 นอกจากนี้ ยังมีตำนานพื้นบ้านที่เล่าว่า มีมังกรตัวใหญ่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอลป์รอบ ๆ อินส์บรุค ทั้งยังเป็นสถานที่ตากอากาศของเจ้าหญิงซิซิ (Empress Sisi) จักรพรรดินีแห่งออสเตรีย ผู้ทรงพระสิริโฉม ที่มักจะโปรดปรานการพักผ่อนในฤดูร้อนที่อินส์บรุค
เอกลักษณ์ที่ทำให้อินส์บรุคเป็นภาพจำไปทั่วโลกคือ ‘หลังคาทองคำ’ (The Golden Roof Museum) หลังคาทองคำแท้ส่องประกาย และกลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เชื่อกันว่าจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 (Maximilian I) มีรับสั่งให้สร้างหลังคาสีทองนี้เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจของพระองค์ ชมโบสถ์ฮอฟเคียร์ช (Hofkirche) ที่เก็บรักษาหลุมฝังศพของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 และพระบรมวงศานุวงศ์ โบสถ์แห่งนี้เต็มไปด้วยประติมากรรมและงานแกะสลักอันวิจิตรบรรจง และปราสาทแอมบราส (Ambras Castle) ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 2 (Ferdinand II) และเต็มไปด้วยงานศิลปะ โบราณวัตถุอันล้ำค่า ถ่ายภาพคู่หอคอย (City Tower) ใจกลางเมืองที่สูงเด่นและสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ชมความงามของอาคารบ้านเรือนสีลูกกวาดริมแม่น้ำอินส์ (Inn River) ปิดท้ายด้วยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวทิวทัศน์ของเมืองบนนอร์ดเคทเทอ (Nordkette) ที่จะทำให้คุณอยากกลับมาเมืองนี้อีกครา
เมืองหลวงของรัฐสตีเรีย (Styria) อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่ในบริเวณแอ่ง Graz Basin และเหมือน ๆ กับเมืองอื่น ๆ ของออสเตรียที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา กราซขึ้นชื่อเรื่องความงดงามทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมอันหลากหลาย และบรรยากาศอันมีชีวิตชีวา ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของ UNESCO ในปี 1999 และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นอกจากนี้กราซยังเป็นเมืองแห่งการศึกษาเพราะมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ถึง 8 แห่ง
กราซก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 12 เคยเป็นเมืองหลวงของดัชเชสแห่งสตีเรีย และศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ เมืองนี้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม เผชิญกับภัยคุกคามจากศัตรูมาหลายยุคสมัย แต่กราซก็ยังยืนหยัดและรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้จนถึงปัจจุบัน
ใครมาเที่ยวเมืองกราซต้องไม่พลาดชมความหลากหลายของสถาปัตยกรรม สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมือง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง Schloss Eggenberg ปราสาทบาโรก เต็มไปด้วยสวนสวย พิพิธภัณฑ์ และงานศิลปะ ปัจจุบันได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลก แวะพักดื่มที่ย่านเมืองเก่า (Altstadt) ที่เต็มไปด้วยถนนเล็ก ๆ ตึกสมัยโบราณ ร้านค้า และคาเฟ่ชิค ๆ เที่ยวเกาะมูรินเซล (Murinsel) เกาะเทียมใจกลางแม่น้ำ Mur รูปเปลือกหอยที่รายล้อมด้วยสวนสวย พิพิธภัณฑ์ และร้านอาหาร ปิดท้ายกันที่สุสานกราซ (Graz Mausoleum) สุสานสไตล์บาโรก ที่เก็บรักษาหลุมฝังศพของจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 2 (Ferdinand II) และพระบรมวงศานุวงศ์
ว่ากันว่า มีมังกรอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ภูเขา Schlossberg คอยปกป้องเมืองกราซจากศัตรู แต่ในที่สุดมังกรก็ถูกสังหารโดยอัศวินผู้กล้า ทั้งยังร่ำลือกันว่า จักรพรรดินีซิซิแห่งออสเตรียเคยใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่เมืองกราซ พระองค์ชอบเดินเล่นในสวน Eggenberg Palace Gardens และชมวิวทิวทัศน์ของเมือง รวมถึงตำนานระฆังของโบสถ์ St. Martin's Church ที่มีเสียงดังก้องกังวานไปทั่วเมือง เชื่อกันว่าระฆังนี้มีพลังวิเศษสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
อีกหนึ่งเมืองริมทะเลสาบอันงดงามในรัฐซัลทซ์บวร์ค (Salzburg) เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และเรื่องราวอันน่าค้นหา เมืองเซล อัม ซี (Zell am See) ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ ริมทะเลสาบเซล (Lake Zell) ตีนเขาชมิทเทนโฮเฮอ (Schmittenhöhe) ทั้งนี้ เซล อัม ซี เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงาม วัฒนธรรมท้องถิ่น และกิจกรรมสนุก ๆ หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังเที่ยวได้ทุกฤดูกาล
Zell am See ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 8 เคยเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญบนเส้นทางการค้าข้ามเทือกเขาแอลป์ และเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1972 ใครมาเที่ยวเมืองนี้ต้องแวะไปเยี่ยมชมความสวยงามของ St. Vitus Church โบสถ์สไตล์กอธิคที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 รวมถึงพักผ่อนท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโวที่ Grand Hotel Zell am See โรงแรมเก่าแก่ที่สวยงามราวพระราชวัง เคยใช้เป็นที่รวมตัวของเชื้อพระวงศ์ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1876
นอกจากนี้ คุณต้องไม่พลาดการนั่งรถไฟ Pinzgauer Lokalbahn รถไฟประจำท้องถิ่นที่วิ่งชมวิวทิวทัศน์เทือกเขาแอลป์ ชมความงดงามของทะเลสาบเซล (Lake Zell) ทะเลสาบสีเขียวใสเหมาะแก่การล่องเรือ พายเรือแคนู และปิดท้ายกันที่การขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชมวิวทิวทัศน์ของเมืองที่ ชมิทเทนโฮเฮอ (Schmittenhöhe) ภูเขาสูง ใหญ่ที่ชาวยุโรปนิยมไปเล่นสกีและสโนว์บอร์ด แล้วยังมีของที่ระลึกน่ารัก ๆ อีกเพียบ นอกจากนี้ยังสามารถเที่ยวเมืองดังรอบข้างอย่างจุดชมวิว Gipplewelt 3000 บนเขาภูเขาคิทส์ชไตน์ฮอร์น (Kitzsteinhorn) หรือปราสาทคาพรุน (Kaprun Castle) ในเมืองคาพรุน (Kaprun)
คุณสามารถไปเที่ยวออสเตรียได้ตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความชื่นชอบส่วนตัว หรือจะไปเที่ยวหลาย ๆ ครั้งเพื่อเยี่ยมชมให้ครบทุกฤดูกาลก็ได้เช่นกัน โดยแต่ละฤดูจะมีความโดดเด่น ดังนี้
ไม่ว่าจะทริปไหน ๆ ฤดูใดก็เที่ยวอุ่นใจได้ทุกครั้งเมื่อมีประกันการเดินของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ที่พร้อมดูแลคุณในทุกเส้นทางครอบคลุม คุ้มครองเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สนใจประกันภัยการเดินทางสอบถามได้ที่โทร. 0 2611 4242